บางจาก ขึ้นเบอร์หนึ่งโรงกลั่นของไทย ESSO ปิดตำนานบริษัท 129 ปี
บางจาก ขึ้นเบอร์หนึ่งโรงกลั่นของไทย ESSO ปิดตำนานบริษัท 129 ปี
ดีลใหญ่ประเดิมปี 2566 ในวงการพลังงานไทย กรณีบมจ. บางจาก คอร์ปอเรชั่น (BCP) เทคโอเวอร์บมจ. เอสโซ่ (ประเทศไทย ) หรือ ESSO ผู้ขายคือ เอ็กซอนโมบิล สัดส่วน 65.99 % พร้อมทั้งการเสนอซื้อหุ้นที่เหลือทั้งหมด (เทนเดอร์ ออฟเฟอร์ ) คิดเป็นเงินประมาณ 3.0-3.3 หมื่นล้านบาทนั้น ในฝั่งของ BCP จะกลายเป็นบริษัทที่มีสถานะเป็นโรงกลั่นน้ำมันขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศไทย เมื่อพิจารณาในแง่ของกำลังการผลิตติดตั้ง 294 พันบาร์เรลต่อวัน
ส่วนแบรนด์ ESSO อีก 2 ปีข้างหน้า ซึ่งหมายถึงสถานีบริการน้ำมันด้วยนั้น จะถูกเปลี่ยนชื่อเป็นบางจาก ESSO ก็จะกลายเป็นตำนานให้คิดถึงต่อไปสำหรับแฟนคลับที่ชอบเติมน้ำมันกับปั้ม ” ESSO”
ข้อมูลจากเวปไซด์บริษัท เอสโซ่ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ระบุว่า บริษัท เอสโซ่ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) และบริษัทในเครือที่เกี่ยวข้องได้ประกอบธุรกิจในประเทศไทยมายาวนานกว่า 125 ปี นับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2437 ( จนถึงปี 2566 มีอายุ 129 ปี ) เป็นหนึ่งในบริษัทที่ดำเนินธุรกิจการกลั่นและค้าน้ำมัน รวมถึงเคมีภัณฑ์แบบครบวงจร ซึ่งฐานธุรกิจหลักประกอบไปด้วย โรงกลั่นน้ำมันและโรงงานอะโรเมติกส์ที่ศรีราชา จังหวัดชลบุรี เครือข่ายคลังน้ำมันและสถานีบริการน้ำมันทั่วประเทศ รวมถึงธุรกิจน้ำมันหล่อลื่น ภายใต้ชื่อการค้า เอสโซ่ และโมบิล
ธุรกิจของบริษัท เอสโซ่ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ประกอบด้วย
– โรงกลั่นน้ำมันระดับมาตรฐานโลก ตั้งอยู่ที่อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี และมีกำลังการผลิตสูงสุด 174,000 บาร์เรลต่อวัน
หน่วยผลิตสารทำละลาย ซึ่งมีกำลังการผลิต 50,000 ตันต่อปี
– เครือข่ายสถานีบริการเอสโซ่มีจำนวนสถานีบริการน้ำมัน 731 แห่งทั่วประเทศ (ข้อมูล ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2564)
– ช่องทางพาณิชยกรรม ครอบคลุมการขายผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมให้แก่โรงงานอุตสาหกรรม ผู้ค้าส่ง ตลอดจนลูกค้าในอุตสาหกรรมการบินและการเดินเรือ ซึ่งผลิตภัณฑ์ที่ขายให้แก่โรงงานอุตสาหกรรมและผู้ค้าส่ง ประกอบด้วยก๊าซปิโตรเลียมเหลว น้ำมันเบนซิน น้ำมันดีเซล น้ำมันเตา น้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยาน ยางมะตอย และน้ำมันหล่อลื่น
– จำหน่ายผลิตภัณฑ์น้ำมันหล่อลื่นและน้ำมันเครื่องสังเคราะห์แท้ภายใต้ชื่อการค้า โมบิล และสนับสนุนเครือข่ายศูนย์บริการรถยนต์โมบิลทั้ง 232 แห่ง ซึ่งประกอบด้วยศูนย์โมบิล 1 เซ็นเตอร์ 190 แห่ง และ โมบิลเอ็กซ์เพรส 42 แห่ง (ข้อมูล ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2564)
ข้อมูลจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ระบุว่า บริษัท เอสโซ่ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) จดทะเบียนกับตลาดหลักทรัพย์ฯ เมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม 2551 ราคาไอพีโอ 10 บาท มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 4.9338 บาท จำนวนหุ้นจดทะเบียน ณ วันที่ 11 มกราคม 2566 จำนวน 3,460.86 ล้านหุ้น คิดเป็นมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (มาร์เก็ตแคป ) 38,415.52 ล้านบาท ผู้ถือหุ้นรายย่อย ณ วันที่ 17 มีนาคม 2565 จำนวน 20,310 ราย คิดเป็นสัดส่วน 34.01%
ซึ่งการลงทุนครั้งนี้มีสินทรัพย์ที่เกี่ยวข้องคือโรงกลั่นน้ำมันกำลังการกลั่น 174,000 บาร์เรลต่อวัน เครือข่ายคลังน้ำมัน และสถานีบริการน้ำมันทั่วประเทศกว่า 700 แห่ง ก่อให้เกิดการประหยัดเชิงขนาดและช่วยเพิ่มประสิทธิภาพต้นทุนของบริษัท โดยจะทำให้บางจากฯ มีกำลังการกลั่นน้ำมันรวม 294,000 บาร์เรลต่อวัน และเครือข่ายสถานีบริการกว่า 2,100 แห่ง สามารถดำเนินธุรกิจโรงกลั่นได้ครบวงจรมากขึ้น จัดหาน้ำมันดิบได้หลากหลายขึ้น และได้รับประโยชน์จากเทคโนโลยีการกลั่นที่เสริมกันของโรงกลั่นทั้งสอง และการให้บริการด้านการตลาดที่ครอบคลุมและนำเสนอบริการให้กับลูกค้าได้ยิ่งขึ้นผ่านสถานีบริการน้ำมัน ทั่วประเทศ รวมถึงมีการแลกเปลี่ยนความรู้และเทคโนโลยี ช่วยเพิ่มพูนทักษะและความสามารถของพนักงาน สร้างความแข็งแกร่งให้ธุรกิจและก่อให้เกิดการส่งมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดสู่ลูกค้า และเตรียมความพร้อมให้กับกลุ่มบริษัทบางจากในการมุ่งสู่การเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน
ส่วนแบรนด์ ESSO อีก 2 ปีข้างหน้า ซึ่งหมายถึงสถานีบริการน้ำมันด้วยนั้น จะถูกเปลี่ยนชื่อเป็นบางจาก ESSO ก็จะกลายเป็นตำนานให้คิดถึงต่อไปสำหรับแฟนคลับที่ชอบเติมน้ำมันกับปั้ม ” ESSO”
ข้อมูลจากเวปไซด์บริษัท เอสโซ่ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ระบุว่า บริษัท เอสโซ่ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) และบริษัทในเครือที่เกี่ยวข้องได้ประกอบธุรกิจในประเทศไทยมายาวนานกว่า 125 ปี นับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2437 ( จนถึงปี 2566 มีอายุ 129 ปี ) เป็นหนึ่งในบริษัทที่ดำเนินธุรกิจการกลั่นและค้าน้ำมัน รวมถึงเคมีภัณฑ์แบบครบวงจร ซึ่งฐานธุรกิจหลักประกอบไปด้วย โรงกลั่นน้ำมันและโรงงานอะโรเมติกส์ที่ศรีราชา จังหวัดชลบุรี เครือข่ายคลังน้ำมันและสถานีบริการน้ำมันทั่วประเทศ รวมถึงธุรกิจน้ำมันหล่อลื่น ภายใต้ชื่อการค้า เอสโซ่ และโมบิล
Cr. https://moneyandbanking.co.th/2023/18737/